วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Valentine Day




ประวัติ

            วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโนซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุด




การให้ดอกไม้ในวันวาเลนไทน์

            มนุษย์ได้ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกันมานานแล้ว เราคิดว่าดอกไม้เป็นสิ่งความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วดอกไม้ยังใช้สื่อความรักได้หลายรูปแบบ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย
  • กุหลาบแดง (Red Rose) : จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า "ฉันรักเธอ"
  • กุหลาบขาว (White Rose) : กุหลาบขาวแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์
  • กุหลาบชมพู (Pink Rose) : มักถูกใช้แทนความรักแบบโรแมนติก และความเสน่หาต่อกัน
  • กุหลาบเหลือง (Yellow Rose) : สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส แทนความรักแบบเพื่อน
โดยในการมอบดอกกุหลาบในวันวาเลนไทน์นั้นเชื่อกันว่า จำนวนดอกกุหลาบที่มอบแก่กันนั้น มีความหมายต่อความรักกันอีกด้วย โดยได้แก่
  • 1 ดอก หมายถึง ความรักแบบ รับแรกพบ
  • 2 ดอก หมายถึงการแสดงความยินดี
  • 3 ดอก แทนคำบอกรักว่า ฉันรักเธอ
  • 7 ดอก แทนคำพูดที่ว่า เธอทำให้ฉันหลงเสน่ห์
  • 9 ดอก แทนความหมายที่ว่า ทั้งสองคนจะรักกันตลอดไป
  • 10 ดอก แทนความหมายว่า เธอเป็นคนที่ดีเลิศที่สุด
  • 11 ดอก แทนความหมายว่า การเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของฉัน
  • 12 ดอก แทนความหมายว่า การขอให้เธอเป็นคู่ฉัน
  • 13 ดอก แทนความหมายว่า ความเป็นเพื่อนแท้เสมอ (ซึ่งอีกนัยหนึ่งคือ การบอกปฏิเสธด้วยความรักอย่างเพื่อน)
  • 15 ดอก แทนความหมายว่า แทนความรู้สึกเสียใจจริง
  • 20 ดอก แทนความหมายว่า ความจริงใจต่อกัน
  • 21 ดอก แทนความหมายว่า ถึงการมอบชีวิตอุทิศให้
  • 36 ดอก แทนความหมายว่า ความทรงจำที่แสนหวานที่ยังมีต่อกัน
  • 40 ดอก แทนความหมายว่า ยืนยันว่าความรักเป็นรักแท้
  • 99 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันรักเธอจนวันตาย
  • 100 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
  • 101 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันมีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น
  • 108 ดอก แทนความหมายถึงการขอแต่งงานแบบอ้อมๆ ที่ผู้ให้ไม่กล้าพูด
  • 999 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอจนวินาทีสุดท้าย
  • 1,000 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอจนวันตาย
  • 9,999 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอชั่วนิรันดร

วันครู

                   วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อ16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภาเป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษาและวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ ควบคุม จรรยาและวินัยของครูรักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัว ได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู






     ตัวอย่างพิธีการแสดงความเคารพครู  พิธีไหว้ครูโรงเรียนทุ่งสง  2554

วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

วันเด็กแห่งชาติ





    "วันเด็กแห่งชาติ”


วันเด็กแห่งชาติเป็นวันสำคัญในประเทศไทยตรงกับวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคมของทุกปี เป็นวันหยุดราชการที่มิได้ชดเชยในวันทำงานถัดไป (วันจันทร์) มีการให้คำขวัญวันเด็กทุกปีโดยนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งในขณะนั้

คำขวัญวันเด็กปี 2555
"สามัคคี มีความรู้ คู่ปัญญา คงรักษาความเป็นไทย ใส่ใจเทคโนโลยี"


ประวัติความเป็นมา

วันเด็กแห่งชาติมีต้นกำเนิดมาจากการที่องค์การสหประชาชาติทั่วโลกเกิดความตื่นตัว และเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะให้ความสำคัญแก่เด็ก ๆ โดยในปี พ.. 2498 นายวี เอ็ม กุล ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิการเด็กระหว่างประเทศ ได้เป็นผู้เสนอต่อกรมประชาสงเคราะห์ ให้มีการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้เห็นความสำคัญ และความต้องการของเด็ก รวมถึงเพื่อเป็นการกระตุ้นให้เด็กตระหนักถึงบทบาทอันสำคัญของตนในประเทศ โดยปลูกฝังให้เด็กมีส่วนร่วมในสังคม เตรียมพร้อมให้ตนเองเป็นกำลังของชาติ
ทั้งนี้ การขานรับกับการจัดงานวันเด็กแห่งชาติได้เป็นไปอย่างกว้างขวาง ในปีเดียวกันนั้นเองทั่วโลกไม่น้อยกว่า 40 ประเทศ จัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติของตนขึ้น โดยได้มีการกำหนดว่าจะถือเอาวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี เป็นวันเด็กแห่งชาติ
สำหรับประเทศไทย ได้ตอบรับข้อเสนอของนายวี เอ็ม กุลกานี ซึ่งบอกผ่านมาทางกรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทยว่า ไทยควรจัดงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติ รัฐบาลจึงได้จัดให้มีคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ขึ้นมาคณะหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชน กำหนดให้มีการฉลองวันเด็กแห่งชาติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จุดประสงค์เพื่อให้เด็กทั่วประเทศทั้งในระบบโรงเรียน และนอกระบบโรงเรียน ได้รู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม มีความยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
อย่างไรก็ตาม งานวันเด็กแห่งชาติครั้งแรกของประเทศไทย จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ..2498 จากนั้นเป็นต้นมา ราชการได้กำหนดวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี เป็นวันเด็กแห่งชาติ โดยจัดต่อเนื่องกันมาจนถึงปี 2506ที่ประชุมคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติในปีนั้น ได้มีความเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรที่จะเสนอเปลี่ยนวันจัดงานวันเด็กแห่งชาติเสียใหม่ ด้วยเหตุผลว่า เดือนตุลาคมสำหรับประเทศไทย เป็นเดือนที่ยังอยู่ในฤดูฝน มีฝนตกมาก เด็ก ๆ ไม่สะดวกในการเดินทางมาร่วมงาน นอกจากนี้วันจันทร์เป็นวันปฏิบัติงานของผู้ปกครอง จึงไม่สามารถพาเด็กของตนไปร่วมงานได
ด้วยเหตุนี้ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบ ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2507 ว่า ควรจะเปลี่ยนเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม ที่มีความเหมาะสมและสะดวกมากกว่า ตามที่คณะกรรมการจัดงานวัดเด็กแห่งชาติเสนอมาส่งผลให้ในปี 2507 ไม่มีงานวันเด็กแห่งชาติด้วยการประกาศเปลี่ยนได้เลยวันมาแล้วงานวันเด็กแห่งชาติจึงเริ่มจัดขึ้นใหม่อีกครั้งในปี 2508 เรื่อยมาถึงปัจจุบัน

ความสำคัญวันเด็กแห่งชาติ
  1. เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของเด็ก สนใจในการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนเด็ก และช่วยเหลือสงเคราะห์เด็กเป็นพิเศษ
  2. เพื่อให้เด็กและและเยาวชนยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
  3. เพื่อให้เด็กรู้จักหน้าที่ของตน และอยู่ในระเบียบวินัยอันดี
  4. เพื่อเผยแพร่ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิของเด็ก


วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อาเซียน


อาเซียน (ASEAN)

ประวัติ
อาเซียน หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East AsianNations หรือ ASEAN) มีจุดเริ่มต้นจากสมาคมอาสา ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.. 2504 โดยไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ แต่ได้ถูกยกเลิกไป ต่อมาในปี พ.. 2510 ได้มีการลงนามใน "ปฏิญญากรุงเทพ" อาเซียนได้ถือกำเนิดขึ้นโดยมีรัฐสมาชิกเริ่มต้น 5 ประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความร่วมมือในการเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม วัฒนธรรมในกลุ่มประเทศสมาชิก และการธำรงรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค และเปิดโอกาสให้คลายข้อพิพาทระหว่างประเทศสมาชิกอย่างสันติ หลังจาก พ.. 2527 เป็นต้นมา อาเซียนมีรัฐสมาชิกเพิ่มขึ้นจนมี 10 ประเทศในปัจจุบัน กฎบัตรอาเซียนได้มีการลงนามเมื่อเดือนธันวาคม พ.. 2551 ซึ่งทำให้อาเซียนมีสถานะคล้ายกับสหภาพยุโรปมากยิ่งขึ้น เขตการค้าเสรีอาเซียนได้เริ่มประกาศใช้ตั้งแต่ต้นปี พ.. 2553 และกำลังก้าวสู่ความเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งจะประกอบด้วยสามด้าน คือ ประชาคมอาเซียนด้านการเมืองและความมั่นคง ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและ 
วัฒนธรรมอาเซียน ในปี พ.. 2558


วัตถุประสงค์

จากสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือทางเอเชียตะวนออกเฉียงใต้ ได้มีการสรุปแนวทางของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไว้จำนวนหกข้อ ดังนี้
  1. ให้ความเคารพแก่เอกราช อำนาจอธิปไตย ความเท่าเทียม บูรณภาพแห่งดินแดนและเอกลักษณ์ของชาติสมาชิกทั้งหมด
  2. รัฐสมาชิกแต่ละรัฐมีสิทธิที่จะปลอดจากการแทรกแซงจากภายนอก การรุกรานดินแดนและการบังคับขู่เข็ญ
  3. จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของรัฐสมาชิกอื่น ๆ
  4. ยอมรับในความแตกต่างระหว่างกัน หรือแก้ปัญหาระหว่างกันอย่างสันติ
  5. ประณามหรือไม่ยอมรับการคุกคามหรือการใช้กำลัง
  6. ให้ความร่วมมือระหว่างกันอย่างมีประสิทธิภาพ

    ประเทศสมาชิกทั้งหมด 10 ประเทศ
    1ไทย
    2มาเลเซีย
    3ฟิลิปปินส์
    4อินโดนีเซีย
    5สิงค์โปร
    6บรูไน
    7ลาว
    8กัมพูชา
    9เวียดนาม
    10พม่า

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เซ็ปติมัส ฮีป

เซ็ปติมัส ฮีป (Septimus Heap) เป็นวรรรณกรรมเยาวชนเขียนโดยแองจี้ เสจ ปัจจุบันได้ตีพิมพ์ไปแล้ว 5 เล่มจากจำนวนทั้งหมด 7 เล่ม โดย 5 เล่มแรกชื่อว่า ทายาทราชินี(Magyk) มนตรามหาภัย(Flyte) จอมขมังเวช(Physik) ภารกิจดับชะตา(Queste) และ หมู่เกาะอาถรรพ์ (Syren)


ทายาทราชินี


ทายาทราชินี เป็นหนังสือเล่มแรกในชุดนี้ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับคนในตระกูลฮีป มีหัวหน้าครอบครัวชื่อ ซิลาส และภรรยาของเขาชื่อ ซาราห์ ทั้งคู่มีลูกชายทั้งหมด 7 คน ไซมอนเป็นลูกชายคนโตซึ่งหวังจะเป็นผู้วิเศษวิสามัญ และลูกชายคนอื่นเรียงตามอายุได้แก่ แซม คู่แฝดเอริกกับเอดด์ โจโจ้ นิกโก้ และเจ็นนา เด็กทารกที่ซิลาสพบท่ามกลางหิมะในคืนที่ลูกชายคนเล็กของเขาเกิดซึ่งก็คือ เซ็ปติมัส ฮีป ลูกชายคนที่เจ็ดของลูกชายคนที่เจ็ด ได้รับคำทำนายว่าจะมีพลังอำนาจเหนือกว่าผู้วิเศษคนใดในโลก แต่เหตุการณ์พลิกผัน เมื่อแม่หมอตำแยประกาศว่าเซ็ปติมัส “ตาย” ตั้งแต่แรกคลอด แล้วเด็กหญิงคนใหม่ที่พ่อเก็บมาเลี้ยงแทนจะช่วยให้คำทำนายเป็นจริงได้หรือ

มนตรามหาภัย

มนตรามหาภัย เป็นหนังสือเล่มที่สองในชุดนี้ มนตราฝ่ายมืดอันร้ายกาจยังไม่ถูกทำลาย และมันกำลังคุกคามปราสาทอีกครั้ง! องค์หญิงน้อยถูกลักพาตัว โดยบุคคลที่ไม่มีใครคาดคิด ไซมอน ในฐานะศิษย์เอกของผู้วิเศษวิสามัญประจำปราสาท เซ็ปติมัส ฮีป มีหน้าที่ติดตามช่วยเหลือองค์หญิง...ด้วยพลังมนตราที่มีอยู่ เซ็ปติมัสจะเอาชนะมนตราบทเก่าแก่ที่ฝ่ายมืดนำมาใช้ได้หรือไม่

จอมขมังเวช
จอมขมังเวช เป็นหนังสือเล่มที่สามในชุดนี้ เรื่องเริ่มจากซิลาสและกรินจ์ ยามเฝ้าประตูได้พบห้องลับที่ปิดผนึกวิญญาณของราชินีชั่วร้ายเมื่อ 500 ปีก่อน พระนางนามว่า เอเทลเดรดดา เซ็ปติมัสได้ถูกดูดเข้าไปในกระจกข้ามเวลาและเป็นผู้ช่วยของ มาร์เซลลัส ไพย์ ผู้รอบรู้ทุกสิ่งเดี่ยวกับ จอมขมังเวช เจ็นนาพยายามช่วยเซ็ปติมัสจนสำเร็จ แต่ทำให้พ่อค้าทางเหนือชื่อว่า สนอร์ริ และนิกโก้ถูกดูดไปยังอดีตกาลเมื่อ 500 ปีก่อน

ภารกิจดับชะตา

ภารกิจดับชะตา เป็นหนังสือเล่มที่สี่ในชุดนี้
เซ็ปติมัส ฮีป ซึ่งเพิ่งเรียนมนตราได้แค่ 3 ปี ถูกบังคับให้เข้าร่วมพิธีกรรม "จับหินภารกิจ" ซึ่งศิษย์เอกผู้วิเศษวิสามัญทุกคน ต้องทำเมื่อเรียนจบ ศิษย์เอกที่จับหินได้ ต้องเดินทางไปทำภารกิจ และไม่เคยมีใครได้กลับมา แต่พิธีกรรมเก่าแก่ครั้งนี้มาถึงเร็วเกินไป เซ็ปติมัส สังหรณ์ว่า อาจมีแผนร้ายบางอย่างซ่อนอยู่
ติดตามการผจญภัยสุดอันตราย ครั้งที่ 4 ของเซ็ปติมัส ฮีป ทั้งภารกิจ มนตราโบราณ และการช่วยเหลือเพื่อนผู้ติดอยู่ในอดีต

หมู่เกาะอาถรรพ์

"หมู่เกาอาถรรพ์" เป็นหนังสือเล่มที่ห้าในชุดนี้ เซ็ปติมัส ฮีปขี่มังกรอยู่บนฟากฟ้าเหนือท้องทะเลลึกเมื่อจู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงคนเรียก...ดังมาจากเกาะเบื้องล่าง การผจญภัยเริ่มขึ้นอีกครั้ง เมื่อเซ็ปติมัสและเพื่อนๆต้องไปติดเกาะประหลาดนั้นโดยไม่คาดคิด ความงามของเกาะซุกซ่อนมนตราโบราณที่ร้ายกาจ โยงใยไปถึงแผนการอันตรายที่เซ็ปติมัสต้องหยุดให้ได้!

ส่วนเล่ม 6 กับ  7 ก็รอกันไปก่อนน่ะค่ะ ล่าสุดเล่ม 6 ได้ข่าวว่าแปลเกือบเสร็จแล้วค่ะ....